ปรีดี พนมยงค์
หากย้อนกลับไปเมื่อ 80 กว่าปีก่อน
ประเทศสยามมิได้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างประเทศไทยในปัจจุบัน
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ประเทศสยามได้รู้จักกับรูปแบบการปกครองที่เรียกว่าประชาธิปไตย
และหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้น ประเทศสยามและไทยก็มีอาการลุ่ม ๆ
ดอน ๆ ตลอดมากับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นในสมัย 2475 หากไม่กล่าวถึงเหล่าบรรดาผู้ก่อการ หรือกลุ่มคนผู้มีใจถวิลหาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย กระทั่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์สยาม(ไทย) คงเป็นไปไม่ได้ และบุคคลที่สมควรถูกพูดถึงในฐานนะของผู้ก่อการคนสำคัญคงหนีไม่พ้นชื่อของ ปรีดี พนมยงค์ ชายผู้เริ่มจุดประกายไฟของการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เกิดขึ้น
ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 3 สมัย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย เป็นผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การเพียงคนเดียวของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ตำแหน่งเดียวกันกับอธิการบดี โดยอธิการบดีคนแรกของธรรมศาสตร์ คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม) และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบัน คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม นอกจากนี้เขายังได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส"
ปรีดีต้องยุติบทบาททางการเมืองหลังเหตุการณ์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสวรรคต รัชกาลที่ 8 โดยถูกกล่าวหาจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อมาเกิดการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 เป็นเหตุให้เขาต้องลี้ภัยการเมืองไปยังประเทศจีนและฝรั่งเศสรวมระยะเวลากว่า 30 ปี และไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีกเลยจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526
ระหว่างที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ปรีดีได้ดำเนินการฟ้องร้องผู้ใส่ความหมิ่นประมาทต่อศาลยุติธรรม ผลปรากฏว่าศาลตัดสินให้ชนะทุกคดี และยังได้รับความรับรองจากทางราชการตลอดจนเงินบำนาญและหนังสือเดินทางของไทย
ในปี พ.ศ. 2542 ที่ประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 30 ขององค์การยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้มีมติประกาศให้ ปรีดี พนมยงค์ เป็น "บุคคลสำคัญของโลก"
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://minimore.com/b/rRVZK/7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น